วันอาทิตย์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

คืนไร้จันทร์




ราตรีนี้ ไร้จันทร์ สรรค์สว่าง

ดาราลาง เรืองระยับ ลับเลือนหาย

น้ำตาริน สิ้นกำลัง ทั้งใจกาย

ฝันสลาย สิ้นแสง แรงโรยรา


หนทางไกล ไร้ความหวัง ประทังจิต

วิปริต มืดมน ทั่วดินฟ้า

เปรียบดาวเดือน เลือนดับ ลับนภา

ดั่งกายา ฤทัยท้อ รอวันตาย


๐๐

แม้ไร้เดือน มิไร้ดาว พราวสว่าง

แม้เลือนลาง มิสูญสิ้น เสื่อมสลาย

ดั่งความหวัง นำชีวา ไม่คลาคลาย

แม้เหนื่อยกาย มิสิ้นแสง แรงศรัทธา


แม้ทางไกล มิใช่หมด หนทางสิ้น

ทั่วแดนดิน มิสิ้นไร้ ไพรพฤกษา

จงต่อสู้ ต่อไป ใช้ปัญญา

เพื่อวันหน้า ฟ้าใหม่ ใต้แสงจันทร์

....................

๑๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๒

วันอาทิตย์ที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

วันฟ้าหม่น



สายลมสงบแสนสงัดสิ้น ทั่วแคว้นแดนดิน

โรยแสงเรืองรองส่องใจ

เมฆฝนบนฟ้านภาลัย บดบังตะวันไว้

พงไพรพลันมืดหม่นมัว

ทุกทิศทึมเทาทาบทั่ว แสงส่องสาดสลัว

หมองมัวประหนึ่งใจเหงา

หวนคิดจิตจับอับเฉา ระกำค่ำเช้า

โศกเศร้าโศกาอาจินต์

มวลมิตรมากมายสลายสิ้น ทั้งขาดทรัพย์สิน

แดนดินถิ่นรักจากมา

ระทมขมขื่นอุรา ประดุจเมฆา

บทบังแสงสุริยาฉาย

เพียงแสงแห่งหวังยังพราย กำลังใจกาย

เสริมไว้ด้วยแสงศรัทธา

ริบหรี่ระเรื่อเรื่อยมา ดุจเดือนดารา

ประดับฟากฟ้าราตรี

อุปสรรคหมื่นแสนเท่าทวี รายล้อมชีวี

ศักดิ์ศรีมิเสื่อมสิ้นสูญ

แม้นสิ้นดาราอาดูร แสงจันทร์จำรูญ

ยังกูลเกื้อกำลังใจ

แม้นจันทร์ดาราสิ้นไป เฝ้ารอวันใหม่

ฤทัยมิสิ้นกำลัง

แสงเทียนชีวิตจิตประทัง รออรุณอุ่นหวัง

ดั่งวันฟ้าใสไผทงาม



วันอาทิตย์ที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

องค์พระปฏิมา


องค์พระปฏิมา

.

เบื้องหน้าท่านสงบ สงัดเงียบ

แสงเทียนสลัว ส่องเครื่องบูชา มวลบุปผาเพียงรำไร

ควันธูปลอยล่อง สู่เวหาเบื้องบน ลับหายกลายอากาศธาตุ

.

ยามสายลมพลิ้วพัด

แสงเทียนระริกรัว ส่องสลัว เพ่งพิศสรรพสิ่งไม่ถนัดนัก

ควันธูปลอยระเรื่อย สุดแต่พระพายจักนำไป

.

ยามสายลมโบกสะบัด

แสงเทียนส่องสว่าง ลามลุกเครื่องบูชาทั้งปวง

ควันธูปกลายควันไฟ คละคลุ้งอวลอบ ตลบละลิ่วลม

.

ยามฝนพรม

เปลวเพลิงพลันมอดดับ เผยเพียงเถ้าธุลี

สายนทีรี่ไหล ชะสาดเศษเถ้าเป็นทาง สิ้นสูญสู่พื้นปฐพี

.

องค์พระปฏิมา

ท่านว่างเปล่า สงบสิ้น ไร้แสงเทียนและควันธูป

ปราศจากเชื้อไฟทั้งปวงเอย