วันศุกร์ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2552

ณ ริมน้ำ ยามราตรี


ณ ริมน้ำ ยามราตรี
สิ้นแสงสุรีย์
ปฐพีมืดมนมัวหมอง

โสมส่องสาดแสงสีทอง
ระเรื่อเรืองรอง
สู่ท้องธารารินไหล

ความหลังฝังลึกตรึงใจ
โศกเศร้าทรวงใน
อาลัยประหนึ่งอาสัญ

ดวงเนตรพินิจพิศจันทร์
ดวงใจใฝ่ฝัน
กลับพลันเสื่อมสิ้นสลาย

คร่ำครวญคิดอยู่มิวาย
ความหวังพรั่งพราย
มลายสู่กระแสสินธุ์

เอนกายเหนือแผ่นแดนดิน
ปลดปล่อยใจจินต์
โบยบินสู่ห้วงแห่งฝัน

พี่น้องผองเพื่อนครบครัน
เสกสร้างสีสัน
ชีวันพลันสุขเกษมศรี

จับมือมั่นมิตรไมตรี
ณ ริมฝั่งนที
น้องพี่ร่วมสร้างร่างฝัน

ทันใดภาพกลายหายพลัน
เหลือเพียงเงาจันทร์
ส่องสรรค์สะท้อนแสบทรวง

ภาพความสุขสันต์ทั้งปวง
เป็นเพียงฝันลวง
เหลือบเร้นหลอกล่อใจตรม

ปลายฟ้าระเรื่อเรืองรมณ์
พาใจระทม
ลอยลมสู่ฟ้ารุ่งราง

หมอกงามยามเช้าเบาบาง
แสงทองส่องทาง
ปล่อยวางว่างเว้นวิงวอน

สิ้นสุดดุจบทละคร
มองฟ้าธาราธร
จากจรสู่สวรรค์เอย

จงตื่นเถิด



หากไร้ซึ่งความเชื่อ อาจไร้ซึ่งความหวัง

ความเชื่อในรักแท้ ทำให้เรามีความหวัง

พระเจ้าให้ความหวัง สำหรับผู้ที่เชื่อ

พระเจ้ามีตัวตน ต่อเมื่อจิตศรัทธา


หากความรัก ก่อเกิดความหวัง

สักวัน คงต้องผิดหวัง

เหมือนปราสาททราย ชายทะเล

แม้สูงใหญ่เพียงใด ต้องสลายเพราะคลื่นลม


ใจที่แข็งแกร่ง ดังหินผา อัญมณี

ย่อมกัดกร่อน ด้วยน้ำ ที่หยดลงทุกวัน

กัดกร่อนดวงใจแห่งศรัทธา


ซาตาน หลงว่าตนยิ่งใหญ่

แต่กลับไม่รู้ตัวว่า ตนไม่ได้ยิ่งใหญ่ดังคิด

เพราะเป็นเพียงทาสของจิตอัปยศ

ซึ่งไหม้มอด แหลกสลาย


มนุษย์ทั้งมวล

จงตื่นเถิด เพื่อพิจารณาจิตของตน