วันพฤหัสบดีที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2553

ฝันค้างกลางเหมันต์
















ยามเหมันต์ จันทร์กระจ่าง กลางผืนฟ้า

เดือนดารา ชวนพินิจ พิสมัย
เพียงสองเท้า ก้าวเกร็ง เร่งเดินไป
หวังอาศัย ไออุ่น จุนกายา
สายลมร้าว หนาวเหน็บ เจ็บเพียงนิด
แต่เจ็บจิต มิจางไป ให้กังขา
หนาวพระพาย โพยพัด สะบัดมา
มิเกินกว่า หนาวฤทัย ใจอาวรณ์
ฝ่าลมหนาว ก้าวไป ไม่ย่อท้อ
ดีกว่ารอ ไร้หวัง หลังสิงขร
ข้ามขุนเขา ข้ามนที สีทันดร
ด้วยสองกร สองบาทา ปัญญาครวญ
ความหวังเอย เคยสกาว ดั่งดาวดาษ
อย่าคลาคลาด เคลื่อนคล้อย ลอยลมหวล
จงโชติช่วง ในใจคน ชนทั้งมวล
มิเรรวน หวนมลาย ตามสายลม


เสียงลมครวญ รัญจวนจิต ยิ่งคิดโศก

ดั่งสามโลก มืดมน ทนขื่นขม

แม้แสงทอง ส่องหล้า ข้าฯยังตรม

จำจิตจม ระทมทุกข์ สุขมลาย

ฝัน
เฟื่องใฝ่ ให้เพื่อนพ้อง ครองสนิท
ค้าง
ครวญคิด คลาไคล ไร้สหาย
กลาง
นภา อาทิตย์ส่อง ผ่องประกาย
เหมันต์กลาย สลายสิ้น กลิ่นไมตรี


กลางเหมันต์ วันฟ้าใส ใจสมสุข

ปลดเปลื้องทุกข์ ปลุกจิตไซร้ ให้สุขี

สุริยันต์ สรรค์ไออุ่น จุนชีวี

มิตรไมตรี ทั่วทุกทิศ จิตมั่นคง

มวลบุปผา ผกาปลิว เป็นทิวทุ่ง

กลิ่นจรุง เจริญใจ จนใหลหลง

พฤกษชาติ ดาษดื่น พื้นไพรพง

มองหมู่หงส์ วิหคงาม ยามอรุณ

ในบัดดล ฝนกระหน่ำ กรรมลิขิต

ทุกทางทิศ มิดมืดมัว ทั่วเขาขุน

พายุพัด ไพรภิน สิ้นการุณย์

อุทกหนุน ท่วมธรณ์ อาวรณ์ใจ

เนตรทั้งสอง นองน้ำตา อุราโศก

วิปโยก โลกระทม มิสมหมาย

ลืมตาตื่น ฟื้นจากทุกข์ แม้สุขวาย

มอดมลาย กลายฝันค้าง กลางเหมันต์

...